วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Objective Analysis And Content Analysis and Instructional Strategy ( 26มิถุนายน - 2กรกฎาคม )

วัตถุประสงค์

  • เพื่อศึกษาถึงแนวคิดพื้นฐานของการกำหนดวัตถุประสงค์
  • เพื่อศึกษาถึงลักษณะและพฤติกรรมผู้เรียน
  • เพื่อศึกษาถึงขั้นตอนและวิธีการการกำหนดวัตถุประสงค์

ประเภทของวัตถุประสงค์ของบทเรียน

  • วัตถุปุระสงคทั่วไป (General Objectives)
  • วัตถุประสงค์เฉพาะหรือวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Specific Objectives or Behavioral Objectives)

ส่วนปะกอบของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม

     

              พฤติกรรมขั้นสุดท้ายหรือพฤติกรรมที่คาดหวัง  หมายถึง การแสดง ออกของผู้เรียนเมื่อสิ้นสุดบทเรียนแล้วผู้เรียนแสดงพฤติ กรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา  ซึ่งพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องวัดได้ หรือสังเกตได้


                 เงื่อนไขหรือสถานการณ์(Condition or Situation) เป็นข้อความที่บ่งถึงสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ หรือเงื่อนไข ที่จะให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมแสดงพฤติกรรมที่คาดหวังออกมา


                 เกณฑ์หรือมาตรฐาน (Standard or Criteria)  เป็นส่วนที่ใช้ระบุความสามารถขั้นต่ำของผู้เรียนว่าจะต้อทำได้เพียงใด  จึงจะยอมรับได้ว่าผู้เรียนตามวัตถุประสงค์แล้ว





การจำแนกวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของบทเรียนคอมพิวเตอร์

1.วัตถุประสงค์ทางด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)

          1.1 ขั้นการฟื้นคืนความรู้ (Recalled Knowledge)  วัตถุประสงค์ในระดับนี้ มุ่งเน้นความสามารถของผู้เรียนในลักษณะการฟื้นคืนความจำออกมาในลักษณะของการเขียนหรือการอธิบายด้วยคำพูด

          1.2 ขั้นการประยุกต์ความรู้ (Applied Knowledge)  วัตถปุระสงค์ในระดับนี้ มุ่งเน้นความสามารถของผู้เรียนในการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาใหม่ ๆ ทีมีลักษณะเดียวกันกับสิ่งที่เคยผ่านการเรียนนรู้มาแล้วได้ อย่างถูกต้อง
           1.3 ขั้นการส่งถ่ายความรู้ (Transferred Knowledge)  วัตถุประสง์คในระดับนี้มุ่งเน้นความสามารถของผู้เรียนในการส่งถ่ายความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในงานใหม่ ๆ ทีมีลักษณะแตกต่างไปจากคุณลักษณะเดิมที่ผู้เรียนมีประสบการณ์มาแล้ว
ได้อย่างถูกต้อง

2.วัตถุประสงค์ทางด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)

            วัตถุประสงค์ทางด้านทักษะพิสัย จำแนกออกได้3 ระดับ คือ ขั้นลอกเลียน (Imitation) ขั้นฝึกหัดความชำนาญ (Control) และขั้นความเป็นธรรมชาติแบบอัตโนมัติ(Automatism)


3.วัตถุประสงค์ทางด้านเจตพิสัย (Affective Domain)

           วัตถุประสงค์ด้านนี้จำแนกได้ 3 ระดับ คือ ขั้นการรับรู้ (Reception) ขั้นการตอบสนอง(Response) และขั้นการยึดมั่น (Internalization)

ข้อพิจารณาในการเเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม

          1. เขียนสั้น ๆ ให้ได้ใจความ ควรมีความยาวหนึ่งหรือสองประโยคเท่านั้น
          2. ระบุพฤติกรรมที่คาดว่าจะเกิดเพียงหนึ่งพฤติกรรม
          3. ระบุพฤติกรรมปลายทางที่คาดว่าจะเกิด
          4.เป็นพฤติกรรมที่สังเกตเห็นเป็นรูปธรรม ไม่ใช่สิ่งที่เป็นนามธรรม

การวิเคราะห์งานหรือภารกิจ (Task   Analysis)

  การวิเคราะห์งาน (Task Analysis) หมายถึง กระบวนการพิจารณา จำแนก แยกแยะ ระบุประเมินผล และจัดข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับงานหรือภารกิจอย่างเป็นระบบ ซึ่งไม่ใช่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียนแต่อย่างใด การวิเคราะห์งานจำแนกออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

1. งานที่เกิดจากการแยกออกเป็นงานย่อย (Task Decomposition)

2. งานที่เกิดจากการวิเคราะห์ฐานความรู้ (Knowledge-based Analysis)

3. งานที่เกิดจากการวิเคราะหฐ์ านความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ (Entity Relationship-based Analysis)

กระบวนการวิเคราะห์งาน มีดังนี้

1. กำหนดตำแหน่งงาน (Define the Position Title)

2. แยกแยะงานทั้งหมดทสีั่มพันธ์กับหน้าที่ (Identify All Job-Related Duties)

3. แยกแยะงานหรือภารกิจทงั้ หมด (Identify All Tasks)

4. ประเมินความสำคัญของงานหรือภารกิจ (Task Evaluation)

5. จัดลำดับงานหรือภารกิจ (Order the Tasks)




ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเนื้อหา

                เนื้อหา  (Content)  หมายถึง ข่าวสารที่เป็นสาระสำคัญต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเพิ่มพูนประสบการณ์ทั้งที่เป็นความรู้ทักษะแก่ผู้เรียน เพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ ในการเรียนการสอนจะระบุลงไปว่าเนื้อหาวิชา” เนื่องจากเน้นการใช้ในบทเรียนซึ่งประกอบด้วยรายวิชาต่างๆ ตามหลักสูตร

                ความคิดรวบยอดหรือสังกัป  (Concept)  หมายถึง เป้าหมายหรือแกนของสาระของบทเรียน ที่จำแนกความแตกต่างขององค์ประกอบย่อยๆ หรือรวมจากองค์ประกอบย่อยๆ
การกำหนดความคิดรวบยอดของเนื้อหา  พิจารณาจากสิ่งต่างๆ  ต่อไปนี้
1.ลักษณะที่เห็นจากภายนอก
2.ลักษณะที่อยู่ภายใน
3.ความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ
4.องค์ประกอบกับสิ่งอื่นๆ

ประเภทเนื้อหา

เนื้อหาจำแนกตามลักษณะของการเรียนรู้ได้  2 ประเภท
          1.ประเภทความรู้ทางทฤษฎี (Knowledge)
          2. ประเภททักษะความชำนาญ (Skill)

               
จำแนกตามโครงสร้างและระดับเนื้อหา
1.เนื้อหาที่เป็นจริงและกระบวนการ (Facts and Process) เป็นเนื้อหาที่อาศัยความจำ
2.เนื้อหาที่เป็นหลักการที่เกิดจากแนวคิดเบื้องต้น (Basic Idea) เป็นเนื้อหาที่แสดงความสัมพันธ์หรือเปรียบเทียบกันระหว่างกลุ่ม
3.เนื้อหาที่แสดงความคิดรวบยอด (Concept) เป็นเนื้อหาที่สรุปเป็นคำจำกัดความ กฎ สูตร ทฤษฏี และหลักการต่างๆ
4.เนื้อหาที่อยู่ในรูปของระบบความคิด  (Thought System) เป็นเนื้อหาที่ต้องการให้ผู้เรียนได้ใฝ่คิดหรือรวมคิดสร้างสรรค์

การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)

ขั้นตอนการวิเคราะห์เนื้อหา ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
1.การศึกษาวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Study Behavioral Objective)
2.การรวบรวมและการศึกษาข้อมูล (Collect and Study Related Data)
3.การประเมินความสำคัญของเรื่องย่อย(Evaluate Sub-Topic)
4.การจัดลำดับความสัมพันธ์ของหัวเรื่อง (Sequencing)
5.การเขียนเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (Write the Content)

ขั้นตอนการวิเคราะห์เนื้อหา
1.การศึกษาวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Study Behavioral Objective) วัตถุประสงค์เชิงพฤตกิรรมของบทเรียน เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงพฤตกิรรมที่คาดหวังของผู้เรียนจากบทเรียน
2.การรวบรวมและการศึกษาข้อมูล (Collect and Study Related Data) ข้อมูลในที่นี้ หมายถึง ข้อความเนื้อหา ภาพ เสียง วัสดุเครื่องมือ โปรแกรม และส่วนอื่น ๆ ที่ใช้ในการนำเสนอและออกแบบบทเรียน ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ดังนี้
1) ส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหาบทเรียน (Subject Matter Resources)
2) ส่วนที่เกี่ยวกับการออกแบบบทเรียน (Instructional Design Resources)
3) ส่วนที่เกี่ยวกับระบบการนำส่งบทเรียน (Delivery System Resources)

ขั้นตอนการรวบรวมและการศึกษาข้อมูล มีดังนี้
1. รวบรวมข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ทั้งหมดจากแหล่งที่มาของเนื้อหา
2. ประเมินข้อมูลปัจจุบันเหล่านั้นว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่
3. รวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลใหม่ๆ ภายนอก
4. ประเมินข้อมูลทั้งหมดว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่
5. ศึกษารายละเอียดของข้อมูลที่ได้

การประเมินความสำคัญของหัวเรื่องย่อย (Evaluate Sub-Topic)
เกณฑ์การพิจารณา มีดังนี้
1.การส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาในการเรียน (Promotes Problem Solving)
2. การส่งเสริมทักษะในการทำงานถูกต้องสมบูรณ์  (Promotes Learning Skill)
3. การส่งเสริมเจตคติที่ดี   (Promotes Transfer Value)


 การจัดลำดับความสัมพันธ์ของเนื้อหา (Sequencing)
         เกณฑ์การพิจารณาทั่ว ๆ ไป ดังนี้
                  1. จัดลำดับเนื้อหา โดยพิจารณาเนื้อหาจากง่ายไปสู่เนื้อหายาก
                  2. จัดตามลำดับก่อนหลังของเนื้อหา เช่น เนื้อหาทฤษฎีต้องมาก่อนเนื้อหาด้านทักษะปฏิบัติ เป็นต้น
                  3. จัดลำดับเนื้อหาจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย ๆ
                  4. จัดลำดับเนื้อหาตามลำดับเวลาที่เกิดก่อนหลัง
                  5. จัดลำดับเนื้อหาจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปหานามธรรม
                  6. จัดลำดับเนื้อหาจากสิ่งที่สังเกตได้ไปหาข้อมูลหรือกฎเกณฑ์

การเขียนเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (Write the Content)
เนื้อหาที่จะนำเสนอในแต่ละวัตถุประสงค์บทเรียนประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้
1. เนื้อหาหลัก (Main Element) ได้แก่ความคิดรวบยอดที่เป็นแกนของเนื้อหานั้น ๆ ที่จำเป็นต้องมี เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาตามวัตถุประสงค์
2. ความรู้ต่าง ๆ (Knowledge) ได้แก่ข้อมูลหรือรายละเอียดปลีกย่อยที่ใช้สนับสนุน ให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาหลัก ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่งส่วนก็ได้
ขั้นตอนการเรียนการสอน
                                สามารถจำแนกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นสนใจปัญหา (M: Motivation)
2. ขั้นศึกษาข้อมูล (I: Information)
3. ขั้นนำข้อมูลมาใช้ (A: Application)
4. ขั้นประเมินผลสำเร็จ (P: Progress)
 วิธีการนำส่งบทเรียนคอมพิวเตอร์
บทเรียนคอมพิวเตอร์สามารถจำแนกตามวิธีการนำส่งบทเรียน (Delivery) ไปยังผู้เรียนได้  3 วิธีดังต่อไปนี้
1. นำเสนอแบบเป็นกลุ่ม (Group Presentation)
2. นำเสนอแบบกลุ่มย่อย (Small-group Presentation)
3. แบบเรียนด้วยตัวเอง (Self-pace Instruction)

การประเมินการเรียนการสอน
ปัจจัยในการพิจารณาแบบทดสอบที่ใช้ในการประเมินผลมีทั้งหมด 7 ประเด็นดังนี้
1. พฤตกิรรมของผู้เรียนที่ต้องการ (Audience Behaviors)
2 เวลาในการทดสอบ (Time)
3. ลักษณะการสอบ (Kind of Test)
4. วิธีการสอบ (Methodology)
5. ความถี่ในการสอบ (Frequency)
6. เกณฑ์ (Criteria)
7. ลักษณะการตรวจผล (Checking Method)

ขั้นตอนในการออกแบบทดสอบสำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนการออกแบบทดสอบสำหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์มีดังนี้
1. ศึกษาวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม
2. กำหนดชนิดของแบบทดสอบ
3. เตรียมงานและเขียนแบบทดสอบฉบับร่าง
4. วิเคราะห์คุณภาพของแบบทดสอบ
5. ดำเนินการจัดพิมพ์แบบทดสอบ

ชนิดของแบบทดสอบสำหรับการเรียนการสอน
แบบทดสอบจำแนกออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้
1. แบบทดสอบอัตนัย (Subjective Test)
2. แบบทดสอบปรนัย (Objective Test)

ลักษณะของแบบทดสอบที่ดี
ลักษณะของแบบทดสอบที่ดีมีดังนี้
1. มีความเที่ยงตรง (Validity) เป็นคุณลักษณะของแบบทดสอบที่สามารถวัดสิ่งที่ต้องการวัดอย่างถูกต้องตรงความมุ่งหมาย 
2. มีความเชื่อมั่นสูง (Reliability) คะแนนที่ได้จากแบบทดสอบต้องมีความคงที่แน่นอน
ว่าจะทำการสอบกี่ครั้ง ผลที่ได้ต้องคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
3. มีความยากง่ายพอเหมาะ (Difficulty) แบบทดสอบจะต้องไม่ยากหรือง่ายเกินไป
4. มีอำนาจจำแนกดี (Discrimination) หมายถึง ลักษณะที่แบบทดสอบสามารถจำแนก
ผู้เรียนออกตามความสามารถได้
5. มีความเป็นปรนัย (Objectivity) แบบทดสอบที่มีความเป็นปรนัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น